เป็นมะเร็งเต้านม สามารถศัลยกรรมเสริมหน้าอกได้ไหม?
มะเร็งเต้านมเป็นโรคที่ผู้หญิงไทยพบมากที่สุด และการรักษาส่วนใหญ่จำเป็นต้องผ่าตัดเอาเต้านมออก (mastectomy) เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งออกไปทั้งหมด เมื่อเต้านมหายไป ผู้ป่วยหลายคนเกิดความกังวลทั้งเรื่องรูปร่าง และความมั่นใจ คำถามยอดฮิตที่ตามมาคือ “หลังเป็นมะเร็งเต้านมแล้ว ยังสามารถศัลยกรรมเสริมหน้าอกได้หรือไม่?”
คำตอบคือ สามารถทำได้ แต่มีรายละเอียดที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจ เพื่อให้ทั้งความปลอดภัย และผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด

การศัลยกรรมเสริมหน้าอกหลังผ่าตัดมะเร็งเต้านมคืออะไร?
การศัลยกรรมเสริมหน้าอกในผู้ป่วยที่เคยเป็นมะเร็งเต้านม เรียกว่า Breast Reconstruction หรือ “การสร้างเต้านมใหม่” จุดประสงค์ไม่ใช่แค่ทำให้หน้าอกสวยงาม แต่ยังช่วยฟื้นฟูความมั่นใจ และคุณภาพชีวิตหลังการรักษา
การศัลยกรรมเสริมหน้าอกในกลุ่มนี้สามารถทำได้ 2 แบบหลัก ๆ คือ
- Immediate Reconstruction : ทำทันทีในขณะผ่าตัดมะเร็ง
- Delayed Reconstruction : รอให้การรักษามะเร็งเสร็จสมบูรณ์และแผลหายดีแล้วค่อยเสริม

ต้องรอกี่เดือนหลังผ่าตัดถึงจะศัลยกรรมเสริมหน้าอกได้?
คำตอบขึ้นอยู่กับ แผนการรักษามะเร็ง ของแต่ละคน
- ถ้า ไม่ได้รับการฉายแสง และไม่มีภาวะแทรกซ้อน บางรายสามารถวางแผนเสริมหน้าอกได้ภายใน 6–12 เดือนหลังผ่าตัด
- ถ้า ต้องฉายแสง ควรรอให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อฟื้นตัวเต็มที่ก่อน โดยทั่วไปแนะนำ 12 เดือนขึ้นไป
- กรณีที่ต้องทำ คีโม หรือการรักษาอื่น ๆ ควรรอให้จบคอร์สและร่างกายแข็งแรงก่อน
ดังนั้น ไม่มีเวลาที่ตายตัวสำหรับทุกคน ต้องให้แพทย์ผู้รักษามะเร็ง และศัลยแพทย์ตกแต่งประเมินร่วมกัน

วิธีการศัลยกรรมเสริมหน้าอกที่ใช้ได้หลังมะเร็งเต้านม
1. การเสริมด้วยซิลิโคน (Implant-based reconstruction)
- เป็นวิธีที่หลายคนคุ้นเคย ใส่ซิลิโคนแทนเนื้อเต้านมที่หายไป
- เหมาะกับผู้ที่ไม่ได้ฉายแสง หรือมีเนื้อเยื่อเพียงพอ
ฟื้นตัวเร็ว แต่อาจมีความเสี่ยงเรื่องพังผืดรัดถุง (capsular contracture)
2. การใช้เนื้อเยื่อของตัวเอง (Autologous reconstruction)
- ใช้ไขมันและผิวหนังจากส่วนอื่น เช่น หน้าท้อง (DIEP/TRAM flap) หรือแผ่นหลัง (LD flap) มาสร้างหน้าอก
- ผลลัพธ์แลดูเป็นธรรมชาติ และทนต่อการฉายแสงได้ดีกว่า
- ข้อควรระวังคือ ผ่าตัดใหญ่ ใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่า และมีแผลบริเวณที่นำเนื้อเยื่อออก
3. เทคนิคผสม (Flap + Implant)
- ใช้เนื้อเยื่อของตัวเองบางส่วนมาคลุมซิลิโคน เพื่อให้หน้าอกดูนิ่ม และลดปัญหาพังผืด

ข้อดีของการศัลยกรรมเสริมหน้าอกหลังมะเร็ง
- ฟื้นฟูรูปร่างและความสมมาตรของหน้าอก
- เพิ่มความมั่นใจในการแต่งตัวและใช้ชีวิตประจำวัน
- ลดผลกระทบทางจิตใจจากการสูญเสียเต้านม
บางคนรายงานว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้นชัดเจนหลังได้ทำ reconstruction
ความเสี่ยงและสิ่งที่ควรระวัง
อาจมีความเสี่ยง เช่น
- การติดเชื้อ
- แผลหายช้า (โดยเฉพาะผู้ที่เคยฉายแสง)
- พังผืดรัดรอบซิลิโคน
- การไม่สมมาตร ต้องผ่าตัดแก้ไข
- การสูญเสีย flap หากใช้เนื้อเยื่อตัวเอง
ดังนั้นก่อนตัดสินใจควรเข้าใจข้อดีข้อเสีย และรับคำแนะนำจากทีมแพทย์อย่างละเอียด
ศัลยกรรมเสริมหน้าอกแล้ว มะเร็งจะกลับมาไหม?
งานวิจัยยืนยันว่า การศัลยกรรมเสริมหน้าอกไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งซ้ำ และยังสามารถตรวจติดตามมะเร็งได้ตามปกติ เพียงแต่ต้องตรวจตามแพทย์นัดอย่างต่อเนื่อง
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดศัลยกรรมเสริมหน้าอกหลังมะเร็ง
- ปรึกษาศัลยแพทย์มะเร็งและศัลยแพทย์ตกแต่งร่วมกัน
- ตรวจร่างกายและเลือดเพื่อประเมินความพร้อม
- หยุดสูบบุหรี่และงดแอลกอฮอล์ตามคำแนะนำแพทย์
- เตรียมสภาพจิตใจให้พร้อม เข้าใจว่าการศัลยกรรมเสริมหน้าอกคือการฟื้นฟูคุณภาพชีวิต ไม่ใช่เพียงความสวยงาม
ก่อนและหลังศัลยกรรมเสริมหน้าอกสำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านม ต้องรู้และเตรียมตัวอะไรบ้าง
มะเร็งเต้านม เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้หญิง และหลายคนจำเป็นต้องผ่าตัดเอาเต้านมออก (Mastectomy) ซึ่งอาจกระทบต่อความมั่นใจในรูปร่างและการใช้ชีวิตประจำวัน ปัจจุบันมีทางเลือกในการ ศัลยกรรมเสริมหน้าอกหลังมะเร็งเต้านม หรือ การสร้างเต้านมใหม่ (Breast Reconstruction) เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
แต่ก่อนจะตัดสินใจศัลยกรรมเสริมหน้าอก ผู้ป่วยควรรู้ข้อมูลและเตรียมตัวให้พร้อมทั้ง ก่อนและหลังการผ่าตัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
ก่อนศัลยกรรมเสริมหน้าอกหลังมะเร็งเต้านม ควรรู้อะไรบ้าง?
- เวลาที่เหมาะสมในการศัลยกรรมเสริมหน้าอก
- หาก ไม่ได้ฉายแสง: แนะนำให้เว้นประมาณ 6–12 เดือน หลังการผ่าตัด
- หาก มีการฉายแสง: ควรรอ 12–18 เดือน เพื่อให้เนื้อเยื่อฟื้นตัวเต็มที่
- ทั้งนี้ต้องขึ้นกับคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษาและการติดตามผลการรักษามะเร็ง
- การเลือกวิธีศัลยกรรมเสริมหน้าอก
- ซิลิโคน (Breast Implant): เหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้อเยื่อเพียงพอ ข้อดีคือเลือกขนาดและรูปทรงได้
- เนื้อเยื่อของตัวเอง (Autologous Tissue): ใช้เนื้อเยื่อจากหน้าท้อง ก้น หรือหลัง มาสร้างเต้านมใหม่ แลดูเป็นธรรมชาติ
- การผสมผสาน (Hybrid): ใช้ทั้งซิลิโคนและเนื้อเยื่อ เพื่อผลลัพธ์ที่สวยงามและสมจริงที่สุด
- การตรวจสุขภาพก่อนผ่าตัด
- ตรวจร่างกายและเลือดเพื่อประเมินความพร้อม
- ตรวจการติดตามผลมะเร็งอย่างต่อเนื่อง
- แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้ เช่น ยาต้านฮอร์โมน ยาละลายลิ่มเลือด หรือสมุนไพร
- การเตรียมตัวทางด้านจิตใจ
- เข้าใจว่าการศัลยกรรมเสริมหน้าอกไม่ได้เพียงแค่ทำให้รูปร่างสวยขึ้น แต่ยังช่วยคืนความมั่นใจ
- เปิดใจคุยกับแพทย์ถึงความคาดหวัง เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาตรงใจ
หลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก ควรดูแลตัวเองอย่างไร?
การพักฟื้น
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือออกแรงมากในช่วง 4–6 สัปดาห์แรก
การดูแลแผลผ่าตัด
- รักษาความสะอาดแผลเสมอ
- เปลี่ยนผ้าปิดแผลตามที่แพทย์แนะนำ
- หลีกเลี่ยงการโดนน้ำโดยตรงในช่วงแรก
การใส่ชุดกระชับหน้าอก
- ใส่ตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อช่วยให้ทรงสวย ลดบวม และช่วยให้ซิลิโคนเข้าที่เร็วขึ้น
การติดตามผลกับแพทย์
- มาพบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของแผลและซิลิโคน
- ตรวจติดตามโรคมะเร็งอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปด้วย
การดูแลสุขภาพโดยรวม
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ออกกำลังกายเบา ๆ ตามที่แพทย์อนุญาต เพื่อฟื้นฟูร่างกาย
ข้อดีของการศัลยกรรมเสริมหน้าอกหลังมะเร็งเต้านม
- ช่วยให้ใส่เสื้อผ้าแลดูเป็นสัดส่วนมากขึ้น
- ลดผลกระทบทางจิตใจจากการผ่าตัดเต้านม
- ทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมดีขึ้น
ผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ที่ไม่สามารถผ่าตัดเสริมสร้างเต้านมได้ ใครบ้างที่ไม่สามารถเสริมสร้างเต้านมได้?
- ผู้ป่วยที่โรคยังไม่สงบ หรือมะเร็งยังอยู่ในระยะลุกลาม
หากยังมีการแพร่กระจายของมะเร็ง หรือแพทย์ยังไม่สามารถควบคุมโรคได้ อาจทำให้การรักษาหลักล่าช้า - ผู้ที่เพิ่งจบการรักษามะเร็งไม่นาน
โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้รออย่างน้อย 6–12 เดือน เพื่อประเมินผลการรักษา และมั่นใจว่าไม่มีการกลับมาเป็นซ้ำก่อนพิจารณาเสริมหน้าอก - ผู้ที่ได้รับการฉายแสงและเนื้อเยื่อยังไม่ฟื้นตัว
การฉายแสงอาจทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อแข็ง ตึง หรือเกิดพังผืด ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแผลหายช้า - ผู้ที่มีโรคประจำตัวควบคุมไม่ได้
เช่น เบาหวานความดันที่ควบคุมไม่ดี โรคหัวใจ โรคปอด หรือภาวะเลือดออกง่าย ซึ่งอาจเป็นอันตรายหากเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ - ผู้ที่สูบบุหรี่จัดหรือดื่มแอลกอฮอล์มาก
การสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ทำให้แผลหายช้าและเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนสูง แพทย์อาจปฏิเสธการผ่าตัดหากยังไม่หยุดพฤติกรรมเหล่านี้ - ผู้ที่สภาพจิตใจยังไม่พร้อม
การศัลยกรรมเสริมหน้าอกหลังมะเร็งไม่ใช่เพียงเรื่องของร่างกาย แต่ยังเกี่ยวข้องกับสภาพจิตใจ หากผู้ป่วยยังมีความกังวล เครียด หรือยังไม่มั่นใจ อาจต้องได้รับการปรึกษาทางจิตวิทยาก่อน
ทำไมผู้ป่วยบางรายจึงไม่เหมาะกับการศัลยกรรมเสริมหน้าอก?
การผ่าตัดศัลยกรรมเสริมหน้าอกเป็นการผ่าตัดใหญ่ ต้องอาศัยทั้งสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เนื้อเยื่อที่พร้อม และการติดตามผลอย่างใกล้ชิด หากฝืนทำในช่วงที่ร่างกายยังไม่พร้อม อาจเสี่ยงต่อ
- แผลติดเชื้อ
- พังผืดรัดซิลิโคน
- แผลหายช้า
- ผลลัพธ์ไม่สวยงาม และอาจต้องแก้ไขหลายครั้ง
ดังนั้นแพทย์จึงต้องพิจารณาเป็นรายบุคคล
หากไม่สามารถเสริมสร้างเต้านมได้ มีทางเลือกอะไรบ้าง?
- การใส่เต้านมเทียม (External Breast Prosthesis)
เป็นซิลิโคนหรือฟองน้ำที่สามารถใส่ในเสื้อชั้นใน ช่วยให้รูปร่างสมดุล แลดูเป็นธรรมชาติ และไม่ต้องผ่าตัด - การใช้เสื้อชั้นในสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านม
ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ ให้ใส่สบาย รองรับเต้านมเทียม และช่วยเพิ่มความมั่นใจ - การปรับการแต่งตัวและภาพลักษณ์
การเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมสามารถช่วยให้รูปร่างสมดุลได้โดยไม่ต้องผ่าตัด - การดูแลด้านจิตใจและการให้คำปรึกษา
การเข้ากลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเต้านม หรือพูดคุยกับนักจิตวิทยา ช่วยให้ผู้ป่วยรับมือกับการเปลี่ยนแปลงร่างกายได้ดียิ่งขึ้น
ศัลยกรรมเสริมหน้าอก เพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมหรือไม่?
การ ศัลยกรรมเสริมหน้าอก หรือการใส่ซิลิโคนหน้าอก เป็นหัตถการศัลยกรรมเสริมความงามที่ได้รับความนิยมสูงมากในปัจจุบัน เพราะช่วยเพิ่มความมั่นใจในรูปร่างและบุคลิกภาพ แต่คำถามที่หลายคนกังวลคือ “ศัลยกรรมเสริมหน้าอกแล้วจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมหรือไม่?”

ความจริงเกี่ยวกับการศัลยกรรมเสริมหน้าอกกับมะเร็งเต้านม
- จากงานวิจัยและข้อมูลทางการแพทย์ในปัจจุบัน ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนหรือซิลีน (Saline) เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมโดยตรง
- ผู้หญิงที่เสริมหน้าอกยังคงมีความเสี่ยงเป็น มะเร็งเต้านม เท่ากับผู้หญิงทั่วไป โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ เช่น
- กรรมพันธุ์ (พันธุกรรม BRCA1/BRCA2)
- อายุ
- ฮอร์โมนและประวัติการมีบุตร
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และการรับประทานอาหาร
การตรวจมะเร็งเต้านมสำหรับผู้ที่ศัลยกรรมเสริมหน้าอก
แม้จะศัลยกรรมเสริมหน้าอกแล้ว ผู้หญิงทุกคนก็ควรตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมตามปกติ ได้แก่
- การคลำเต้านมด้วยตนเอง ทุกเดือน
- การตรวจเต้านมโดยแพทย์ ปีละครั้ง
- การตรวจแมมโมแกรม (Mammogram) หรือ อัลตราซาวด์เต้านม ตามช่วงอายุและความเสี่ยง
หากมีอาการผิดปกติ เช่น ก้อนแข็ง หน้าอกบวม แดง หรือเจ็บ ควรพบแพทย์ทันที
วิธีลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม (สำหรับทุกคน ไม่ว่ามีการศัลยกรรมเสริมหน้าอกหรือไม่)
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
- ตรวจสุขภาพและตรวจเต้านมเป็นประจำ



